ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือ ED Erectile Dysfunction
ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ED Erectile Dysfunction โดยปกติแล้ว อวัยวะเพศชายจะแข็งตัวเมื่อเริ่มจินตนาการทางเพศ หรืออวัยวะเพศถูกสัมผัสโดยตรง สมองจะสั่งการผ่านเส้นประสาทสัมผัสต่าง ๆ ที่อยู่ในอวัยวะเพศ เลือดจะถูกสูบฉีดเข้าไปในอวัยวะเพศ ทำให้หลอดเลือดแดงภายในอวัยวะเพศขยายตัว เลือดแดงจะไหลเข้ามาในอวัยวะ กล้ามเนื้อเรียบบริเวณอวัยวะเพศจะเกิดการคลายตัวแผ่ออกไปกดเส้นเลือดดำเพื่อไม่ให้เลือดไหลกลับ ส่งผลให้อวัยวะเพศชายมีการขยายโต และยาวขึ้น อวัยวะเพศจึงแข็งตัวพร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้
ปัญหาภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือโรค อี ดี (ED/ Erectile Dysfunction) หรือนกเขาไม่ขัน หมายถึง อาการที่อวัยวะเพศชายแข็งตัวไม่พอที่จะสอดใส่เพื่อมีเพศสัมพันธ์ได้ อาจหมายถึงสอดใส่ได้ แต่ไม่สร้างความพึงพอใจ บางรายมีอาการหลั่งเร็ว หลั่งไว สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการเหล่านี้เกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงที่อวัยวะเพศไม่เพียงพอ การขาดฮอร์โมน สมองสั่งการไม่ดี เส้นเลือด เส้นประสาทไม่ดี ตัวอวัยวะเพศเองมีปัญหา เป็นภาวะที่พบเจอได้ในผู้ชายทุกคน ชายอายุต่ำกว่า 40 ปี พบประมาณ 5 % ผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี พบประมาณ 50 % ปัจจุบันพบผู้ที่มีโอกาสป่วยด้วยอาการนี้สูงกว่าในอดีตที่ผ่านมาถึง 3 เท่า เนื่องจากการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้เพศชายเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศสูงขึ้น ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ED นี้ แม้จะไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นสัญญานบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพทางกายโดยรวม โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุเกิดจากความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด เช่น โรคเส้นเลือดสมองอุดตัน โรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งล้วนมีปัญหาจากเลือดไปเลี้ยงอวัยวะนั้นไม่เพียงพอนั่นเอง และยังมีโอกาสเป็นโรคอื่น ๆ ได้อีก เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคอ้วน โรคตับ ภาวะฮอร์โมนเพศต่ำ โรคไทรอยด์ มะเร็งต่าง ๆ ซึ่งคนปกติก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ถ้าเรามีปัญหาเรื่องนี้ ก็แปลว่าร่างกายน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ
นอกจากนี้ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ED Erectile Dysfunction ยังอาจส่งผลถึงสัมพันธภาพกับคู่สมรส จนอาจทำให้มีปัญหาในครอบครัวตามมาได้
ลักษณะอาการภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ED แบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้
แบบปฐมภูมิ คือ การที่องคชาตไม่เคยแข็งตัวเต็มที่ หรือไม่แข็งพอ แทบจะไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จแลย
แบบทุติยภูมิ คือ การที่องคชาตเคยแข็งตัวและร่วมเพศได้มาก่อน แต่ต่อมาเกิดความผิดปกติขึ้น ทำให้ไม่สามารถแข็งตัวเหมือนเดิม สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จประมาณครึ่งหนึ่ง
แบบชั่วคราว คือ การที่องคชาตไม่แข็งตัวเป็นครั้งคราว สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเกือบทุกครั้ง
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายวัย 40 เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (ED)
สาเหตุของ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ED Erectile Dysfunction แบ่งได้เป็น 3 สาเหตุใหญ่ ๆ คือ
สาเหตุทางกาย :
อายุ : เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออายุสูงขึ้น โอกาสที่จะเกิดปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ED ก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
เกิดจากโรคประจำตัว หรือโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดภาวะ ED ได้ร้อยละ 62, โรคหัวใจมีผลทำให้เกิดภาวะ ED ระดับสูงถึงร้อยละ 13.2, โรคเบาหวาน ทำให้เกิดภาวะ ED ได้ร้อยละ 74.7, โรคอ้วน คอเลสเตอรอลสูง เป็นต้น
เคยได้รับการผ่าตัดมาก่อน เช่น การผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน การผ่าตัดผ่านทางท่อปัสสาวะ ได้รับอุบัติเหตุบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือที่ไขสันหลัง เป็นต้น
ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย เทสโทสเตอโรน
การรับประทานยาบางชนิด มีผลให้หย่อนสมรรถภาพทางเพศ ได้เช่นกัน
สาเหตุทางใจ : ความเครียด, โรคจิตเภท โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า จากการศึกษาพบว่าคนที่มีภาวะซึมเศร้า มีภาวะ ED สูงถึงร้อยละ 50 – 90 ปัญหาทางอารมณ์และจิตใจ เช่น ความกังวลต่าง ๆ เช่น กลัวว่าอวัยวะเพศจะไม่สามารถแข็งตัวได้ กลายเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจ
สาเหตุจากพฤติกรรม :
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก อาจทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศมีปัญหาชั่วคราว
การทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือการเล่นกีฬากลางแจ้ง อาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าในตอนกลางคืนได้
การสูบบุหรี่ จะไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่ส่งไปยังอวัยวะเพศ นำไปสู่ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้
การพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
การนั่งเล่นเกมส์ หรือนั่งหน้าจอเป็นเวลานาน ส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรง เหนื่อยล้า ขาดความกระปรี้กระเปร่า นำไปสู่ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
การทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารขยะที่มีไขมันมากเกินไป ทำให้เป็นโรคอ้วน ไขมันอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศไม่เพียงพอ หรือการขาดสารอาหารบางชนิด
การป้องกันภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ED Erectile Dysfunction
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น มีวินัยในการดำเนินชีวิต รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง โดยเฉพาะเวลากลางคืน เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายจะสร้างในเวลากลางคืน
- กินอาหารที่มีประโยชน์ ให้ถูกสัดส่วน ลดอาหารที่มีแป้ง ไขมัน และน้ำตาลให้น้อยลง
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ และลดการสูบบุหรี่
- ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่อย่าหักโหมจนเกินไป
- หลีกเลี่ยงความเครียด และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ทำงานอดิเรกเพื่อผ่อนคลายความเครียด
- ควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายเป็นประจำ
- เสริมด้วยวิตามินและสมุนไพรเพื่อบำรุงร่างกาย
การรักษาภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
- คนไข้ที่อายุยังไม่ถึง 50 ปี แพทย์จะให้ยารับประทานชนิดที่มีฮอร์โมนเพศชาย หรือ เทสโทสเตอโรน เสริมเข้าไปลองดูผลก่อน
- ยากลุ่มยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ phosphodiesterase-5 (PDE-5 inhibitor) เนื่องจากการกระตุ้นให้องคชาตแข็งตัวนั้น เส้นประสาทในองคชาตจะมีการปล่อยสาร “ไนตริกออกไซด์” ออกมากระตุ้นให้มีการสร้างสารไซคลิกจีเอ็มพี (cGMP) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบ sinusoid ในองคชาต หลังจากนั้นองคชาตจึงแข็งตัว โดยสารไซคลิกจีเอ็มพีจะถูกทำลายโดยเอ็นไซม์ PDE-5 ดั้งนั้น การทานยากลุ่ม PDE-5 inhibitor จึงช่วยชดเชยให้การแข็งตัวขององคชาตดีขึ้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ได้แก่ ยาซิลเดนาฟิล (sildenafil) ทาดาลาฟิล (tadalafil) และวาเดนาฟิล (vardenafil) โดยทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 ชั่วโมง อาการข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดศีรษะ การมองเห็นผิดปกติ อาการร้อนวูบวาบและปวดเมื่อยตามตัว
- ยาฉีด โดยฉีดเข้าอวัยวะเพศโดยตรง ยาชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เพื่อนำเลือดเข้าสู่อวัยวะเพศชาย จนเกิดการแข็งตัว และจะแข็งได้นาน 30 – 60 นาที
- ยาสอด สอดเม็ดยาเล็กๆ เข้าทางท่อปัสสาวะ หลังจากคลึงอวัยวะเพศประมาณ 5 – 10 นาที ยาจะซึมเข้าอวัยวะเพศและทำให้แข็งตัวขึ้นมาได้
- กระบอกสุญญากาศ โดยนำกระบอกสุญญากาศสวมเข้าที่อวัยวะเพศชายหลังทำการปั๊ม เลือดจะถูกดึงให้เข้าไปที่เนื้อเยื่อแทน ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ เมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่แล้ว จึงถอดกระบอกสูญญากาศออก แล้วนำยางรัดที่ฐานของอวัยวะเพศชาย เพื่อกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับเข้าสู่ร่างกาย ช่วยให้ยังคงการแข็งตัวต่อไปได้
- การรักษาด้วย shockwave โดยการใช้คลื่นเสียงที่มีความเข้มต่ำแบบแรงกระแทกจากภายนอก (low intensity extracorporeal shockwave therapy) ไปกระตุ้นบนอวัยวะเพศของผู้ป่วย ส่งผลให้มีการสร้างหลอดเลือดฝอยขึ้นใหม่
- การผ่าตัดใส่แกนองคชาตเทียม
Cr. paolohospital, samitivejhospital, journal of phrapokklao nursing college
Green Papa “ฟิตพลังหนุ่มให้กลับมาอีกครั้ง”
Green Papa กรีนปาปา เป็นสารสกัดจากสมุนไพรหลากหลายชนิด รวมทั้งวิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยยับยั้งการหลั่งของเอ็นไซม์ฟอสโฟไดเอสเทอเรส PDEs จึงช่วยลดการทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อม ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง เลือดลมไหลเวียนได้ดี ช่วยบำรุงตับ และไตให้ทำงานได้สมบูรณ์เต็มที่ ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น เมื่อสุขภาพโดยรวมดีขึ้น สมรรถภาพทางเพศก็จะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ
- เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
- บำรุงร่างกายของสุภาพบุรุษ
- ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชาย